คิมจองฮยอนพูดถึงตัวละครของชอลจงเช่นเดียวกับกูซึงจุน ชอนซูโฮ และโกมันซู เขาบอกว่าเขาไม่ได้อาลัยอาวรณ์กับความเสียใจหรือยึดติดกับความสำเร็จของผลงานใดๆในอดีตที่ผ่านมาที่เกี่ยวกับตัวละครเหล่านั้น สำหรับนักแสดงคิมจองฮยอนช่วงเวลาในปัจจุบันคือสิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดสำหรับตัวเขา
คุณได้ถ่ายทำซีรีย์เรื่อง Mr. Queen เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ?
ใช่ครับ มันผ่านมาสักพักแล้วครับที่เราได้ปิดกองการถ่ายทำ
มันเป็นละครที่สร้างไว้ล่วงหน้าใช่ไหม? (pre-produced)
มันควรจะเป็นเช่นนั้นครับ แต่เนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันเราต้องระงับการถ่ายทำกลางคัน ดังนั้นในท้ายที่สุดการถ่ายทำจึงซ้อนทับกับการออกอากาศประมาณ 1 เดือน รวมถึงการถ่ายทำตอนพิเศษ Mr. Queen: the Secret อีกด้วยครับ
ตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่คุณจะได้พักหายใจ
ตอนนี้ (ในระหว่างการถ่ายภาพ), ละครเรื่อง Mr. Queen ยังคงออกอากาศอยู่และผมก็รู้สึกดีใจและมีความสุข (จากการดูละคร) หลังจากที่ตอนสุดท้ายจบลงแล้วก็ถึงเวลาที่ผมต้องกล่าวอำลาครับ
เมื่อคืนคุณได้ดูละครตอนฉายสดไหม(สำหรับตอนที่ 18ของละคร )
เมื่อคืนผมได้ดูครับ แต่ผมไม่ได้ปรากฏตัวมากนักในตอนนี้ (หัวเราะ)
บางทีมันอาจจะเป็นตอนที่การปรากฏตัวของชอลจงสั้นที่สุดตอนหนึ่ง(ในตอนที่18) เมื่อเทียบกับทุกๆตอนในซีรีส์ ในทางกลับกันคุณยังมีโอกาสได้ดูการแสดงของนักแสดงคนอื่น ๆ และได้จดจ่ออยู่กับพวกเขา
ใช่ครับ นั่นคือสิ่งที่ผมเป็น เนื่องจากที่ผมได้ดูซีรีส์ทั้งเรื่อง ดังนั้นผมจึงได้ดูการแสดงของนักแสดงคนอื่น ๆ ด้วย บอกตามตรงนะครับ ผมไม่สามารถดูการแสดงของตัวเองได้จริงๆ
คุณสามารถดูการแสดงของตัวเองได้หรือไม่ ?
ผมรู้สึกเขินๆเวลาดูการแสดงของตัวเองครับ ถึงกระนั้นมันก็ดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ผมพยายามที่จะดูการแสดงของตัวเองเพราะมันก็ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะค้นหาส่วนที่ผมยังบกพร่องอยู่ครับ

แล้วคุณดูการแสดงของตัวเองเวลาอยู่คนเดียวไหม?
ผมมักจะเลือกที่จะดูคนเดียวมากกว่าที่จะดูกับเพื่อนหรือครอบครัวครับ บางครั้งผมก็ดูละครกับครอบครัวของผม แต่มันค่อนข้างที่จะน่าเขินอายมากกว่าสำหรับผมครับ ในช่วงเวลานั้นผมพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการดูโทรทัศน์ ผมพยายามหันหนีไปจากหน้าจอโทรทัศน์และเลือกที่จะสังเกตจากปฏิกิริยาของพวกเขาครับว่าการแสดงของผมเป็นอย่างไร
แม้กระนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอึดอัดสำหรับคุณที่จะดูละครที่คุณแสดงร่วมกับครอบครัวใช่ไหม?
ใช่ครับ พวกเขาพูดเกี่ยวกับส่วนที่พวกเขาชอบและพวกเขายังให้กำลังใจผมด้วยครับ แม่ของผมค่อนข้างที่ห่วงผมจริงๆครับ แม่มักจะบอกผมว่าผมดูทรมาน โดยบอกว่าตอนนี้ผมทรมานและดูเหมือนว่าจะได้รับความเจ็บปวดครับ
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นิตยสารได้วางจำหน่ายผมก็ได้ส่งให้พ่อแม่ของผมด้วยครับ แต่แม่ของผมมักจะพูดถึงเนื้อหาที่ถูกเรียบเรียง โดยบอกว่าคราวนี้พวกเขาเขียนบทความได้ดี (เมื่อดูนิตยสารที่ลูกของเธออยู่ในนั้น…) พ่อแม่ของผมดูเหมือนจะพูดถึงแต่เรื่องของผม โดยเฉพาะคุณแม่ของผม เมื่อมีฉากระเบิดออกมาเธอรู้สึกกังวลและรู้สึกแย่กับเรื่องนี้มาก “ ฉันจะทำยังไงดี “ ?
“ ผมเลยบอกแม่ว่ามันคือการแสดงทั้งหมดครับ ชอลจงในละครเรื่องนี้ไม่ใช่จองฮยอน อย่ายึดติดอยู่กับมันมากเกินไป” ผมพูดแบบนั้นกับเธอครับ แต่ถึงยังไงแม่ก็คิดว่านั่นเป็นลูกชายของเธอ ดังนั้นเธอเลยรู้สึกเป็นห่วงแต่ทำอะไรไม่ได้ พ่อของผมเองก็บอกอีกว่าผมทำงานหนัก พี่ชายของผมก็มักจะดูละครออกอากาศสดร่วมกับพวกเราไม่ได้ แต่เขาก็ส่งข้อความมาว่า “ชอลจงยังมีชีวิตอยู่” น้องสาวของผมก็ทำเช่นเดียวกันครับ
แล้วนักแสดงคนไหนที่สร้างความประทับให้กับคุณหลังจากที่ดูพวกเขา?
ผมเหรอครับ? อันดับแรกเลย ชินฮเยซอนพาร์ทเนอร์ของผมครับ เธอยอดเยี่ยมมากจริงๆ และผมก็มักจะขอบคุณเธออยู่เสมอ แต่ถ้าพูดถึงความประทับใจลึกๆ ผมคิดว่าผมเลือกรุ่นพี่คิมแทอูครับ ทัศนคติในฉากของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก แม้ว่ากล้องจะไม่ได้โฟกัสไปที่เขาในฉากนั้น แต่เขาก็จะยืนอยู่ในตำแหน่งของเขาเพื่อรักษาโฟกัสและให้ฉากดำเนินไป ในขณะเดียวกันเขาก็ยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาได้อย่างดี เขาเป็นคนที่น่าชื่นชมมาก มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมได้เรียนรู้จากเขาครับ บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เราสามารถคาดหวังได้จากรุ่นพี่ผู้ที่อยู่ในวงการมาหลายปี แต่แล้วเขาก็ยังเป็นคนที่เกรงใจนักแสดงที่อายุน้อยกว่าเวลาที่ทำงานร่วมกันอยู่เสมอ เพื่อเป็นการสร้างความกลมกลืนในฉาก จะพูดว่ายังไงดี... ‘สิ่งที่รุ่นพี่ควรเป็น’ นั่นคือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเขาครับ เป็นความรู้สึกแปลกใหม่และมอบความแข็งแกร่งให้ผมครับ
ใต้เท้าคิมจวากึน ที่แสดงโดยนักแสดงคิมแทอู เป็นบทบาทที่เขาไม่ต้องทำอะไรมากเมื่อเทียบกับตัวละครก่อนหน้านี้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวหรือการแสดงออกในเรื่อง เขาไม่ได้แสดงออกมาชัดเจนมากนักเนื่องจากตัวละครของเขาเป็นคนที่ซ่อนความตั้งใจจริงของเขาไว้ ถึงกระนั้นก็เป็นสิ่งที่น่าทึ่งสำหรับตัวละครดังกล่าวที่มีผลกับเนื้อเรื่องมากขนาดนี้
ใช่เลยครับ นั่นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเขาครับ ความสามารถในการครองใจผู้คนของเขาก็น่าทึ่งเช่นเดียวกัน เมื่อผมมองดูเขา ผมจะชอบคิดว่า ‘รุ่นพี่ไม่ใช่เป็นเพียงพี่ในวงการ แม้ว่าผมจะอยู่เพื่อสร้างสรรค์ผลงานต่อไป แต่ผมจะไม่เป็นเพียงรุ่นพี่ ผมจะเป็นรุ่นพี่แบบพาร์ทเนอร์ในการแสดงและเป็นความทรงจำที่ดีกับผู้ร่วมงาน มันขึ้นอยู่กับความพยายามที่ผมจะทำในแต่ละช่วงเวลาและทุกๆอย่างให้มีค่าครับ’
สำหรับฉัน โดยส่วนตัวแล้วฉันคิดว่า ชา ชองฮวา (ชเวซังกุง) นั้นยอดเยี่ยมมากและฉันก็ทึ่งกับการแสดงของ ลีแจวอน (หัวหน้าพิเศษฮง) พวกเขาทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงตัวละครที่มีไหวพริบ แต่มีความรู้สึกมั่นคงที่แปลกประหลาดนี้แผ่ออกมาจากพวกเขา
ตัวผมเองก็รู้สึกเหมือนกันตอนที่เห็นพี่แจวอนครั้งแรก เขาไม่สงบและนิ่งเกินไปหรือ? เขามักจะนิ่งและเงียบโดยไม่ใช้พลังงานมากเกินไป แต่เมื่อผมดูบนหน้าจอ ความรู้สึกก็แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาครับ ผมยังคิดว่าการแสดงของเขายอดเยี่ยมมากและผมพบว่าเขามหัศจรรย์มากครับ
แล้วชอลจงล่ะ? ฉากไหนที่คุณชอบที่สุดสำหรับเขา?
อ่า…มันเกี่ยวกับการแสดงของผม (หัวเราะ) ผมคิดว่าทุกการแสดงของผมเป็นเรื่องธรรมดา แต่แล้วผมก็ได้รับข้อความจากผู้กำกับหลังจากที่เราถ่ายทำฉากของพิธีการในงานซูริตเสร็จ “การแสดงของคุณยอดเยี่ยมมากและถือเป็นไฮไลท์ของวันนี้” ผู้กำกับไม่ได้ส่งข้อความแบบนั้นมาเป็นปกติครับและนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่า 'โอ้..ดูเหมือนว่าการแสดงของฉันในวันนั้นจะดี'
นั่นคือสิ่งที่มันเป็น ผู้ชมยังให้ความสนใจกับฉากที่ชอลจงดำดิ่งลงไปในทะเลสาบ ถือเป็นอีกฉากที่น่าจดจำของพวกเขา ซึ่งเราสังเกตได้จากยอดวิวใน Youtube
ฉากนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ชอลจงได้ค้นพบความรู้สึกของเขาที่มีต่อโซยง เป็นความรู้สึกที่เบ่งบานในหัวใจเขาก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นฉากในตอนที่ 17 เขาพูดว่า ‘ฉันจะแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตัวเอง’ มันเป็นช่วงเวลาที่ชอลจงรู้สึกถึงความรับผิดชอบของตัวเขา ‘มันเหมือนกับการฆ่าพระมเหสีสองหน’ บรรทัดนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของเขาในระดับหนึ่ง ผมหวังว่าฉากนี้จะเป็นสิ่งที่ผู้ชมจะชอบครับ
ตามที่คาดการณ์ไว้ คุณจะไม่พูดถึงการแสดงของคุณ (หัวเราะ) ฉันรู้สึกถึงความน่าเกรงขามอย่างมากหลังจากดูฉากนั้นโดยฉันมีความคิดว่า ‘อ่านี่คือเหตุผลที่นักแสดงคิมจองฮยอนถูกสร้างมาเพื่อรับบทชอลจงสินะ’ คุณเต็มไปด้วยความรู้สึกเฉพาะเจาะจงติดตัวคุณอยู่ในฉากนั้นๆ อย่างประโยคที่ว่า ‘มาทำตามกฏโนทัชกันเถอะ ’’ ซึ่งเป็นประโยคที่ตลก แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นเมโลที่น่าหลงใหลและยังคงความงดงามในกลิ่นอายของความเศร้าที่มาจากการส่งสาสน์นั้นๆ
ขอบคุณครับ มาตรฐานของผมมันค่อนข้างที่จะแปลก ถ้าให้ผมพูดถึงการแสดงของผมในฉากนั้น ... มันเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ ^^

ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ เลยดู Mr. Queen ตั้งแต่เริ่มต้นอีกรอบ มันรู้สึกมีชีวิตชีวาจริงๆที่ได้กลับไปดูอีกตั้งแต่ ep. แรก ซึ่งฉันหมายถึงการแสดงของชอลจงนั่นแหละ
อ่าา ขอบคุณครับ
นี่ฉันยกยอคุณมากเกินไปรึเปล่า?
ไม่เป็นไรเลยครับ คุณสามารถทำได้เลย แม้ว่ามันจะทำให้ผมรู้สึกเขินไปบ้างก็ตาม แต่ข้างในผมก็รู้สึกดีมากเช่นกันครับ
จริงเหรอ? ฉันคงไม่สามารถหยุดตัวเองได้ เหมือนเรามักจะกลับไปหยิบหนังสือเล่มดีๆของเราเล่มเดิม ถึงแม้ว่าเราจะอ่านมันจบไปแล้ว แต่เมื่อหยิบมาอ่านอีกก็รู้สึกเหมือนมันเป็นหนังสือเล่มใหม่ ฉันรู้สึกแบบเดียวกัน เมื่อฉันได้ดูการแสดงของคุณตั้งแต่ช่วงแรกๆของละคร
มันคงจะดีมากที่ความรู้สึกแบบนี้จะอยู่ในความทรงจำของผู้ชม ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน เรามีข้อจำกัดหลายอย่าง เราไม่สามารถที่จะออกไปข้างนอกได้อย่างอิสระและอาจเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดสำหรับบางคน ‘ฉันหัวเราะและร้องไห้ ตอนที่ฉันดู Mr. Queen ย้อนหลัง’ มันคงจะดีมากที่ได้สร้างความทรงจำแก่พวกเขา ซึ่งเป็นละครที่พวกเขาจะสามารถกลับมาดูได้ทุกเมื่อครับ
นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสั้นของคุณให้ได้เห็นอยู่ Binggoo/Ice Moud: ฉันมักจะนึกถึงละครเรื่องนี้เมื่อฤดูหนาวมาถึง
การที่มีความคิดเห็นในทำนองแบบนั้น มีความหมายอย่างมากต่อผู้จัดละคร ละครเรื่องหนึ่งอาจถูกลืมไปหลังจากที่มีเรื่องใหม่เข้ามา แต่มันจะกลายเป็นความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์บางอย่างที่เราไม่สามารถจะปฏิเสธมันได้เลย ถือเป็นเกียรติอย่างมากครับ (ที่สามารถทำได้)
มีโปรเจคไหนของคุณที่ส่งผลต่อคุณแบบนั้นบ้างไหม?
อ่าาา...
เป็นการที่คุณจะบอกว่าไม่มีอันไหนเลย? (หัวเราะ)
หัวใจผมโตทุกครั้งเวลาเห็นตัวเองปรากฎออกมาครับ นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ยากในการที่ต้องดูการแสดงของตัวเองซ้ำๆ ผมมักจะดูด้วยมาตรฐานที่เข้มงวดเสมอ อีกทั้งก็ไม่มีอะไรที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วเมื่อได้ออกอากาศ ผมคิดว่าผมยังไม่สามารถใช้มันเป็นเครื่องมือที่จะให้ความเพลิดเพลินอย่างแท้จริงได้ (เมื่อดูการแสดง) ผมก็ไม่รู้นะครับ อาจจะเป็นไปได้สักวันหนึ่งครับ
คุณกำลังพูดว่ามันเป็นสิ่งที่ยาก ที่จะแบ่งแยกการแสดงของคุณเมื่อคุณได้ดูโปรเจคที่คุณเล่น
บางครั้งเวลาที่ผมออกไปดื่มกับเพื่อนของผมข้างนอก พวกเขาจะชอบหยอกผมและพูดว่าเราควรจะดูเรื่อง Welcome to waikiki Season 1 ด้วยกัน (หัวเราะ)
ฉันต้องทำงานที่บ้านเมื่อสองสามวันก่อน และได้ดูละครตอนที่ถ่ายงานที่บ้าน ว้าว คือฉันได้แต่หวังว่าฉันจะไม่โผล่เข้าไปอยู่ในกล้องตอนนั้น มันยากมากๆ ที่เราจะกลั้นหัวเราะเมื่อพูดถึงละครเรื่องนั้น
นั่นแหละครับคือสิ่งที่ละครเป็น มันสุดๆเลยครับ

คุณเพิ่งบอกว่า “มันสุดๆไปเลยครับ” ?
ใช่ครับ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าฉากนั้นจะดูตลกสำหรับคนที่ดู แต่ก็มีความรู้สึกถาโถมเมื่อพูดถึงตัวละครในฉากนั้น
แม้กระทั่งฉากที่ตัวละครของคุณต้องวิ่งเข้าไปหาแฟนเก่าหลังจากที่เพิ่งเลิกรากันไป เมื่อคุณพยายามที่จะหาห้องน้ำเพราะปวดท้องหรือฉากที่คุณต้อง
แต่งตัวเป็นมัจจุราช แล้วพูดว่า “วันนี้จะเป็นวันฝังศพของแก”?
ตัวละครแต่ละตัวในฉากต่างก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนตามลำดับ มีความรู้สึกรีบเร่งเข้ามาและต้องแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ รวมถึงวิธีจัดการกับมัน ณ ชั่วขณะนั้น แต่ในเวลาเดียวกันก็มีแฟนเก่าที่ต้องเจอในตอนนั้นด้วย (หัวเราะ) ในตอนนั้นแทนที่ผมจะมุ่งความสนใจไปที่ผลลัพธ์ของฉาก ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าผมเล่นไปเลย แสดงความจริงใจและให้รู้ถึงความร้อนรนของตัวละคร เพื่อให้คนดูเพลิดเพลินไปกับการรับชมฉากนั้นครับ สำหรับฉากที่แต่งเป็นมัจจุราชนั้น เป็นส่วนหนึ่งของจินตนาการของ จุนกิ ดังนั้นผมจึงมีความคิดแบบนี้ 'อะไรคือสาเหตุที่จะทำให้จินตนาการนี้ฝังความกลัวในตัวของจุนกิเองได้อีกล่ะ?'
เพียงเพราะเป็นแนวคอมเมดี้ ไม่ได้หมายความว่านักแสดงจะแสดงออกมาได้อย่างร่าเริงสนุกสนาน
สำหรับผมแล้ว เรื่องพวกนี้ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก ผมคิดว่ามันควรจะมีบางอย่างที่ทำให้เราสามารถถ่ายทอดความตลกเพื่อให้ผู้ชมมองว่าฉากนี้มันตลก (เช่นเดียวกับ) ความโกรธ ความเศร้า ความสุข ล้วนแต่เป็นการถ่ายทอดผ่านลักษณะท่าทาง การแสดงออก เพื่อให้คนยอมรับว่ามันเป็นเรื่องที่ตลก ผมไม่คิดว่าคำตอบของคำว่าตลก คือการเล่นตลกครับ
เรื่อง Welcome to waikiki ซีซั่น 1 , Crash landing on you, และ Mr. Queen ต่างก็ได้รับความรักจากผู้ชมเป็นอย่างมาก ฉันคิดว่าแค่เป็นนักแสดงที่ชื่อ คิมจองฮยอน ที่ตอนนี้มีความมั่นใจและความสบายใจในการแสดงโรแมนติกคอมเมดี้หรือคอมเมดี้ แต่ปรากฎว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีความสำคัญมากนัก
ประเภทของหนังเป็นเพียงการจัดหมวดหมู่ที่จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ชมเข้าถึงได้ง่ายมากกว่าครับ ในขณะที่ผมมีเป้าหมายส่วนตัวคือการแสดงต่อไปโดยไม่ได้แบ่งแยกว่าต้องเป็นการแสดงแบบไหน (ในประเภทต่างๆ) ความสามารถในการเข้าถึงตัวละครได้อย่างชัดเจนน่าจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าครับ (ในการแสดง)
คุณยังได้ร่วมโปรเจคละครเร้าอารมณ์ ซึ่งนอกเหนือจากแนวตลก เช่นละครเรื่อง Time ภาพยนตร์เรื่อง Stay with Me และละครพิเศษเรื่อง The Buz Cut Love ซึ่งโปรเจคเหล่านี้ที่หลายคนถือว่าเป็นบทพิสูจน์คุณค่าที่แท้จริงของนักแสดง คิมจองฮยอน เนื่องจากคุณฝังตัวเองลงไปในบทบาทเหล่านั้น
ในทำนองเดียวกัน ผมไม่คิดว่าตัวเองมีแนวทางที่แตกต่างออกไป หรือฝังลึกลงไปภายในตัวเองเมื่อพูดถึงโปรเจคเหล่านั้น แต่ผมเป็นประเภทที่จะคอยสังเกตปฏิกิริยาจากโปรคเจคของผมว่าในแต่ละโปรเจคนั้นจะให้ความสุขได้อย่างไร สถานการณ์บางอย่างให้ความสบายใจ หรือให้ความเข้มแข็ง หรือเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจ แทนที่จะเป็นละครที่มอบความสุขให้ผม ผมคิดว่าการยึดถือเสียงตอบรับของผู้ชมที่ชมแล้วมีความสุขนั่นคือสิ่งที่มีค่าสำหรับผมมากกว่าครับ
เมื่อสักครู่นี้ ในขณะที่คุณกำลังให้สัมภาษณ์ทางวิดีโอนั้น คุณได้ตอบคำถามเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับ ‘คิมจองฮยอน’ “นักแสดงที่น่าเชื่อถือ จะดีมากถ้าได้รับการยกย่องให้เป็นนักแสดงที่มีผลงานน่าดูชม”
ผมว่ามันเป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบมากกว่าครับ อย่างแรกเลยคือทุกคนในกองถ่ายต่างมีบทบาทของตัวเองใช่มั้ยครับ? มีผู้กำกับที่คอยกำกับและชี้นำ นักเขียนที่เขียนบทที่น่าสนใจ ทีมผลิตที่คอยเตรียมฉากต่างๆ และผมที่เป็นนักแสดง ผู้ที่ทำหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการแสดง มันไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความมั่นใจ แม้แต่รุ่นพี่ชเวมินซิกซึ่งมีประสบการณ์ด้านการแสดงมากกว่า 10 ปี ก็ยังพูดกับตัวเองว่า ‘การแสดงเป็นเรื่องที่ยาก’ ผมมักจะกลัวและหวาดหวั่นอยู่เสมอ บางทีอาจเป็นช่วงเวลาที่ผมจะหยุดแสดงเมื่อถึงเวลาที่ผมคิดว่าผมรู้สึกว่าผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการแสดงและผมมั่นใจเกี่ยวกับมัน ความรับผิดชอบที่ผมพูดถึงคือ ผมไม่ต้องการที่จะล้อมกรอบตัวเอง และพัฒนาตัวเองต่อไปครับ
คุณไม่ได้เริ่มการแสดงครั้งแรกตอนอยู่มัธยมต้นหรอกเหรอ? อะไรคือสาเหตุที่ทำให้คุณตัดสินใจเช่นนั้น?
ตอนผมเป็นอยู่ปีสุดท้ายของมัธยมต้น แล้วมันมีการแสดงในช่วงสุดท้ายของงานเทศกาลโรงเรียนครับ ซึ่งเป็นวิชาเกี่ยวกับการพากษ์เสียง โดยมีเพื่อนบางคนจะแสดงท่าทางตามเสียงพากย์และให้เราเดาคำตอบครับ ในตอนนั้น พวกเขาสนุกสนานกันมากและนั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมสนใจครับ แบบ “โอ้ว พวกเขาทำให้มันสนุกได้ยังไง? มันคืออะไร? มันเป็นงานแบบไหน?” แทนที่ผมจะคิดถึงงานในฐานะนักแสดง ผมกลับอยากรู้มากกว่าว่าการแสดงนั้นจะแสดงเกี่ยวกับอะไร

งั้นคุณไม่ได้เริ่มต้นเพราะคุณอยากเป็นนักแสดง แต่จริงๆแล้วมันเกิดจากการลงมือทำเอง ฉันยังได้ยินมาว่าคุณเป็นผู้บุกเบิกให้มีชมรมการแสดงในโรงเรียนของคุณเองด้วย
ใช่ครับ คือโรงเรียนเราไม่เคยมีชมรมการแสดงมาตั้งแต่แรก เนื่องจากในตอนนั้นมีรุ่นพี่ปีสุดท้ายประมาณ 2-3 คน มันเลยมีความเป็นไปได้ที่จะตั้งชมรมขึ้น และมีอาจารย์(ที่ปรึกษา)ด้วย ดังนั้นมันจึงเป็นการพยายามของพวกเราที่จัดตั้งชมรมนี้ไปด้วยกัน และเริ่มจากตรงนั้นเลยครับ ผมคิดว่าผมสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่าพวกเราเป็นรากเหง้าและเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งชมรมการแสดงในโรงเรียนเราครับ
ชมรมของคุณมีชื่อไหม?
แน่นอนครับ
ชมรมชื่อว่าอะไร?
ผมไม่ได้เป็นคนคิดชื่อเองหรอกนะครับ อยู่ๆก็มีรุ่นพี่ตะโกนออกมาว่า ‘นาร์ซิสซัส’ ที่แปลว่า ผู้ที่หมกมุ่นและหลงตัวเองครับ
ฉันก็สงสัยว่าทำไมคุณถึงลังเลก่อนจะตอบออกมา แต่พอได้รู้คำตอบแล้ว เอ่อ มันก็ควรแก่การลังเลนั่นแหละนะ (หัวเราะ)
ตอนนั้น พวกเราก็แบบ ‘อ่า มันก็ดีแหละ’ ...เป็นแบบนั้นแหละครับ (หัวเราะ)
คุณเคยเข้าเรียนกวดวิชาเพื่อการแสดงและยังไปเรียนมหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติเกาหลี (K-Arts) ด้วย?
ใช่ครับ
คุณคิดว่าหลักสูตรของ K-Arts นั้นมีผลต่อคิมจองฮยอนในขณะนั้นหรือไม่?
การเข้าเรียนโรงเรียนการแสดงเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่สำหรับผมครับ ผมไม่แน่ใจเกี่ยวกับหลักสูตรของที่อื่น แต่ตอนนั้นผมอยู่มัธยมปลายปีสุดท้าย ที่นั่นเป็นวิทยาลัยเดียวที่เน้นการปฏิบัติจริง ผมผ่านความท้าทายมากมายและได้ลองทำสิ่งใหม่ๆในขณะที่ผมเรียนอยู่ที่นั่น ผมยังต้องการที่จะพัฒนาต่อไป ทำให้ตระหนักได้ว่าทำไมผมถึงเหมือนกบที่อยู่ในบ่อใหญ่ ทุกๆสิ่งที่ผมได้เรียนรู้เกือบทั้งหมดได้กลายเป็นสิ่งที่ผมได้ทำไปแล้ว
ในตอนนั้นคุณได้ทำภาพยนตร์อิสระหลายเรื่อง และมันได้กลายเป็นว่าคุณเล่นละครเวทีและละครเพลงด้วย
ผมไม่ได้เล่นละครเวทีหรือละครเพลงมากมายขนาดนั้น ภาพยนตร์เรื่อง Overman ได้รับเชิญให้เข้าฉายในงานเทศกาลภาพยนตร์ และนั่นคือหนทางที่เปิดกว้างสำหรับผมในการทำละครและภาพยนตร์ครับ ผมโชคดีมากจริงๆ ในตอนนั้นผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ หลังจากที่ผมถ่ายทำเรื่อง Overman เสร็จ ผมก็ไปทำงานพาร์ทไทม์ต่อ แต่แล้วก็มีผู้กำกับคนหนึ่งที่เคยดูและชอบหนังเรื่องนั้นติดต่อผมมา และผมเริ่มทำละคร ละครเรื่องต่างๆก็ตามมา และทำให้ผมคิดได้ว่าผมได้มาถึงจุดนี้ และก็จะก้าวเดินต่อไปทีละก้าวๆครับ
พูดกันตามตรง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการว่าคิมจองฮยอนเป็นคนที่ยืนอยู่บนเวที บางทีฉันอาจจะเคยชินกับภาพลักษณ์ของนักแสดงที่มีเพียงการแสดงที่ละเอียดอ่อนมากเท่านั้นที่สามารถจับได้ด้วยกล้อง แทนที่จะเป็นนักแสดงที่แสดงผ่านความหนักแน่นและเข้มข้นบนเวที
แต่ตอนที่ผมแสดงบนเวที ผู้กำกับคนหนึ่งพูดกับผมว่า “ดูเหมือนคุณจะแสดงหน้ากล้องไม่ได้ คนที่ระเบิดพลังอย่างคุณจะทำอย่างนั้นไม่ได้ คอยดูแล้วกัน คุณจะเปล่งประกาย และเจิดจรัสที่สุดบนเวที”
ว้าว ขนาดนั้นเลยหรือ?
ผมโชคดี...ไม่ใช่สิ คงเป็นโชคที่เข้าข้างผมมากกว่าน่ะครับ อย่างไรก็ตาม ทิศทางได้ลงเอยด้วยการมุ่งหน้าไปทางอื่นและพัดพาผมมาที่นี่ ผมก็ยังคงทำตัวไม่ถูกเวลาต้องแสดงเช่นเคยอยู่ดี (หัวเราะ) ผมไม่เก่งด้านนี้เลยด้วยซ้ำ (สำหรับการแสดงละคร) ดังนั้นมันก็ยังทำตัวไม่ถูกต่อไปถ้าผมได้ออกมาแสดงบนเวทีอีก
มีผู้กำกับบอกฉันว่า นักแสดงคิมจองฮยอน มักใช้กลิ่นอายความเป็น ‘ละครเวที’ ลงไปในนั้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายต่อเนื่องสำหรับฉากสัมภาษณ์ในละครเรื่อง Time ฉากที่คุณร้องเพลงจีบสาวหน้าบ้านของแฟนคุณในเรื่อง Binggoo / Ice Mound หรือ ภาพยนตร์เรื่อง Stay with Me
ใช่ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาพยนตร์เรื่อง Stay with Me คือเราต้องเดินผ่านกล้องที่ตั้งไกลไปอีกนิดหน่อย นั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบครับ มันต้องดีแน่ๆถ้าได้เห็นความพยายามในสิ่งนั้นมากขึ้น ผมจะเตรียมตัวอย่างดี และไปพบคุณนะครับ(หัวเราะ)
ความพยายามแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความไว้ใจในนักแสดงเป็นอย่างมากเท่านั้น
ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เป็นรากฐานของการเป็นนักแสดงละครเวทีครับ แน่นอนว่ามีหลายคนที่ไม่มีประสบการณ์ในการแสดงละครเวที แต่ยังเก่งในด้านการแสดงได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเท่านั้นครับ อืมมม ซึ่งละครเวทีนั้นจะไม่มีพวกของมุมกล้อง หรือการคัต มันเป็นเพียงการเล่นละครโดย “ทั้งหมด” ของทั้งโรงละคร ละครเวทีคือที่ที่ทุกอย่างอยู่ในที่โล่ง รูปแบบของการแสดงและประเภทของการแสดงเป็นการถ่ายทอดโดยใช้ร่างกายของคุณเอง เมื่อคุณเริ่มแล้วจะไม่มีการคัต หากไม่มีการคัตคุณก็ไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากจะต้องแสดงต่อไปจนจบฉากนั้น ดังนั้นแม้ว่าผมจะถ่ายละครหรือภาพยนตร์ก็ตาม ผมมักจะวางแผนวาดฉากและดำเนินเรื่องต่อไปโดยไม่ไปทำลายตัวละคร รวมถึงการทำงานร่วมกันกับนักแสดงคนอื่นๆด้วย แน่นอนว่าบางซีนอาจจะถ่ายเพียงช่วงสั้นๆ แต่ผมชอบที่จะเข้าใจสถานการณ์ของซีนนั้นทั้งหมดครับ ซึ่งบางครั้งผู้กำกับหรือกองถ่ายอยากจะเห็นสิ่งนั้นและพวกเขาก็ปล่อยให้ผมได้ทำมัน ดังนั้น ผมเลยรู้สึกขอบคุณเมื่อสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ออกมาดีครับ
-
©ESQUIRE KOREA
-
English translated by muchadoboutlove
-
Thai translate by KIMJUNGHYUN_TH